10 ส.ค. 66 – สส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ เรียกร้องรัฐลงพื้นที่แก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายฝั่งอย่างจริงจัง หลังชาวบ้านเดือดร้อนหนักทุกปีในช่วงมรสุม จี้สร้างเขื่อนหินทิ้งกลางทะเลช่วยเป็นแนวกัน
นายชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวหารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงปัญหาน้ำกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระ ซึ่งมีความยาวประมาณเกือบ 70 กิโลเมตร ฝั่งอ่าวไทย มี โดยระบุว่าในช่วงเดือน พ.ย. – ม.ค. จะเป็นช่วงมรสุม ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่จะเกิดปัญหารุนแรง อัตราการกัดเซาะสูงถึง 5 เมตร เกิดความเสียหายต่อบ้านเรือน ที่อยู่อาศัยของประชาชน และภาครัฐเสียทัศนียภาพ ส่งผลต่อธุรกิจการท่องเที่ยว เพราะบริเวณดังกล่าวมีทั้งที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และพื้นที่อนุรักษ์เพาะพันธุ์สัตว์น้ำ ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ ส่วนสาเหตุของการกัดเซาะชายฝั่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์ในการพัฒนาชายฝั่ง เช่น การสร้างท่าเรือน้ำลึกการบุกรุกป่าชายเลน การสร้างเขื่อนการสูบน้ำบาดาลทำให้ชายฝั่งทรุดตัวลง และอีกปัจจัยหนึ่งเกิดจากธรรมชาติ ทั้งคลื่นลมรุนแรงผิดปกติ ลมมรสุม การกัดเซาะจากน้ำขึ้น-น้ำลง การเพิ่มขึ้นของน้ำทะเล กระแสน้ำมีการเปลี่ยนแปลงตาม ธรรมชาติ ทิศทางของคลื่นเปลี่ยนแปลง และปริมาณฝนตกที่มากกว่าปกติ
นายชนนพัฒฐ์ กล่าวต่อไปว่าการกัดเซาะชายฝั่งในพื้นที่คาบสมุทรสทิงพระเป็นปัญหาวงกว้างที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขแบบยั่งยืนถาวร ยกตัวอย่างที่ตำบลท่าบอน กลุ่มชาวบ้านที่เดือดร้อนได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะชายฝั่งในระยะทางยาวกว่า 12 กิโลเมตร ในช่วงมรสุมจะมีบ้านเรือนประชาชนพังเสียหายทุกปีต่อเนื่องมานาน ตนจึงขอเรียกร้องให้หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ลงไปดูปัญหาเพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมายาวนาน สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องมีการแก้ไขในระยะยาวอย่างยั่งยืน โดนตนได้หารือกับชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ ต้องการให้ภาครัฐทำแนวกันคลื่น หรือที่เรียกว่าเขื่อนหินทิ้งกลางทะเล เพราะจะทำให้เกิดแนวชายหาดใหม่ และชาวประมงยังสามารถจอดเรือชาวประมงได้
ลักขณา เทียกทอง ข่าว/เรียบเรียง